demo.jirawatlawoffice

Thai Version

การจดทะเบียนพาณิชย์คืออะไร บอกข้อควรรู้ก่อนเริ่มทำธุรกิจ
Blog, Thai Version

การจดทะเบียนพาณิชย์คืออะไร บอกข้อควรรู้ก่อนเริ่มทำธุรกิจ

ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ การจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้องตามกฎหมายถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะทำธุรกิจส่วนตัวหรือธุรกิจออนไลน์ก็ตาม เพราะหากไม่จดทะเบียนหรือหลีกเลี่ยงไม่จด อาจมีบทลงโทษทางกฎหมายตามมาในภายหลัง ดังนั้น เมื่อต้องการสร้างและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนก็จำเป็นต้องศึกษา “การจดทะเบียนพาณิชย์” ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การจดแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพื่อแสดงตัวตนของธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยใบทะเบียนพาณิชย์เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ และเป็นหลักฐานทางการค้าที่สำคัญที่ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลต้องมีไว้ ทั้งนี้การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่ใช่การเสียภาษี แต่เป็นเพียงการแจ้งให้รัฐทราบว่ากำลังดำเนินธุรกิจอยู่ ใครบ้างต้องจดทะเบียนพาณิชย์ อันดับแรกก่อนทำการจดทะเบียนการค้า ต้องตรวจสอบว่าธุรกิจดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ของผู้ที่มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์หรือไม่ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้แบ่งออกไว้เป็น 5 ประเภท ดังนี้ ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นสำนักงานสาขาต่างประเทศที่ถูกตั้งขึ้นมา ต้องตรวจสอบว่ากิจการค้าที่ดำเนินการได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือไม่ โดยจำเป็นต้องได้รับอนุญาตก่อน จึงจะสามารถยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ได้ ส่วนกิจการที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่ วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ ในการจดทะเบียนพาณิชย์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1. ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร สามารถจดทะเบียนการค้าได้ทั้งหมด 3 แห่ง คือ สำนักงานเขตที่ธุรกิจตั้งอยู่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักการคลัง 2. ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่อยู่ต่างจังหวัด สามารถจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่เทศบาล หรือองค์การบริการส่วนตำบลที่ธุรกิจตั้งอยู่ โดยผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หรือนิติบุคคลจำเป็นต้องเตรียมเอกสารสำคัญ ดังนี้ กรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ ต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่ จดทะเบียนพาณิชย์และจดทะเบียนบริษัท ต่างกันอย่างไร สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอาจสับสนว่า จดทะเบียนพาณิชย์และจดทะเบียนบริษัทต่างกันอย่างไร โดยทั้งสองรูปแบบมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ สถานะทางกฎหมาย การจดทะเบียนพาณิชย์เป็นการแจ้งให้รัฐทราบว่าคุณกำลังดำเนินธุรกิจ โดยไม่ได้สร้างสถานะทางกฎหมายใหม่แต่อย่างใด ธุรกิจและเจ้าของยังคงเป็นบุคคลเดียวกันในทางกฎหมาย ในขณะที่ การจดทะเบียนบริษัทเป็นการสร้างนิติบุคคลใหม่แยกออกจากตัวผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทสามารถทำนิติกรรมต่าง ๆ ในนามของตนเองได้ ความรับผิดชอบต่อหนี้สินและภาระผูกพัน ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการคือเรื่องความรับผิดชอบต่อหนี้สิน ในการจดทะเบียนพาณิชย์ เจ้าของกิจการต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจโดยไม่จำกัดจำนวน ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของสามารถถูกนำมาชำระหนี้ของกิจการได้ แต่ในการจดทะเบียนบริษัท ผู้ถือหุ้นจะรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนลงทุนไว้ในบริษัท ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวได้รับการคุ้มครอง ภาษี ในด้านภาษี การจดทะเบียนพาณิชย์จะเสียภาษีแบบขั้นบันไดตามรายได้ สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือตามจริงได้ ส่วนการจดทะเบียนบริษัท จะเสียภาษีในอัตราคงที่ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ แต่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงและมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายประการ ความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจ การจดทะเบียนบริษัทสามารถแสดงถึงความมั่นคงของธุรกิจ ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การประมูลงาน หรือการทำธุรกิจกับองค์กรขนาดใหญ่ได้ดีกว่า ในขณะที่การจดทะเบียนพาณิชย์อาจมีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่ก็เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น ข้อดีของการจดทะเบียนพาณิชย์ การจดทะเบียนพาณิชย์ ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมอบประโยชน์มากมายให้กับผู้ประกอบการที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือ โอกาสทางธุรกิจ และการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งสามารถแบ่งประโยชน์หลัก ๆ ออกเป็น 3 ด้านดังนี้ 1. ด้านธุรกิจ การมีใบทะเบียนพาณิชย์ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ เพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีตัวตนที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจกับหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรใหญ่ที่ต้องการหลักฐานการจดทะเบียนประกอบการทำธุรกรรม อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางการค้าในการติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  2. ด้านการเงิน ทะเบียนพาณิชย์ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถใช้เป็นเอกสารประกอบการขอสินเชื่อธุรกิจ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการขอการสนับสนุนจากโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือโครงการส่งเสริม SMEs ต่าง ๆ ที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้อง 3. ด้านกฎหมาย แน่นอนว่าการดำเนินกิจการที่ผ่านการจดทะเบียนพาณิชย์ช่วยให้ธุรกิจได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่ หากเกิดข้อพิพาททางการค้าก็สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายในนามของกิจการได้ […]

ทำความรู้จักคดีฉ้อโกงคืออะไร มีเรื่องอะไรที่ควรทราบเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงบ้าง
Blog, Thai Version

ทำความรู้จักคดีฉ้อโกงคืออะไร มีเรื่องอะไรที่ควรทราบเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงบ้าง

ในปัจจุบัน เราอาจได้ยินข่าวเกี่ยวกับการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางออนไลน์ การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า หรือแม้แต่การหลอกลวงในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนต่างๆ โดยทั้งหมดนี้ล้วนเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายที่เรียกว่า คดีฉ้อโกง ทั้งสิ้น โดยบทความนี้ Jirawat & Associates จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงให้มากขึ้น ทั้งความหมาย ลักษณะของความผิด บทลงโทษ รวมถึงแนวทางในการดำเนินการเมื่อตกเป็นผู้เสียหายจากการฉ้อโกง คดีฉ้อโกงคืออะไร คดีฉ้อโกง เป็นความผิดในทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้กลอุบายล่อลวงบุคคลอื่น ด้วยวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง หรือการตั้งใจปิดบังข้อเท็จจริงที่ควรเปิดเผย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์หรือทรัพย์สินจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ หรือเพื่อชักจูงให้บุคคลผู้นั้นกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง โดยการจะพิจารณาว่าการกระทำใดเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงหรือไม่นั้น จุดสังเกตแรกคือ ต้องมีการวางแผนทุจริตไว้ล่วงหน้า มีการใช้กลวิธีต่างๆ ที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด โดยการกล่าวอ้างเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงในอดีตหรือปัจจุบัน และถึงแม้จะเป็นเพียงการให้สัญญาเกี่ยวกับอนาคต แต่หากมีรากฐานจากการบิดเบือนสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็จะถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการกระทำที่เรียกว่า “คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” ที่เป็นความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดด้านการฟอกเงินด้วย โดยคำว่า “ปกติธุระ” หมายถึงการที่บุคคลมีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำๆ กันมากกว่า 1 ครั้ง หรือมีเจตนาที่จะกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง คดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่งหรืออาญา คดีฉ้อโกงเป็นคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ที่ระบุว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตัวอย่างคดีฉ้อโกง มีแบบไหนบ้าง คดีฉ้อโกงสามารถปรากฏขึ้นได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การล่อลวงรายบุคคลไปจนถึงการหลอกลวงในวงกว้าง โดยตัวอย่างคดีฉ้อโกงที่พบเห็นได้บ่อย เช่น 1. การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า เช่น การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ หรือไม่ได้รับสินค้าเลยหลังจากชำระเงิน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ยังอาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์อีกด้วย 2. การชักชวนให้ร่วมธุรกิจ เช่น การชักจูงให้บุคคลเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าผ่านการนำเสนอภาพสินค้าที่น่าดึงดูด แต่เมื่อมีการโอนเงินและสั่งซื้อสินค้าแล้ว กลับจัดส่งสินค้าด้อยคุณภาพหรือไม่จัดส่งใดๆ เลย ส่งผลให้บุคคลนั้นเสียทรัพย์ 3. การฉ้อโกงในธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ เช่น การสวมรอยเป็นนายหน้าขายที่ดิน ชักจูงให้เจ้าของที่ดินลงนามในสัญญาจองหรือมัดจำ โดยชำระเงินเพียงบางส่วน ก่อนที่จะร่วมมือกับพวกพ้องดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือตามข้อตกลง 4. การเบี้ยวค่าบริการต่าง เช่น การใช้บริการร้านอาหารหรือโรงแรมโดยมีความตั้งใจที่จะไม่ชำระเงิน หรือแอบอ้างว่าได้ทำการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการจริงๆ 5. การเอาเปรียบแรงงาน เช่น กรณีการหลอกลวงให้ทำงานตามที่ตกลงไว้ หรือมีการ แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่ทำตามข้อตกลง ไม่จ่ายค่าแรง หรือจ่ายน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแรงงาน อัตราโทษของคดีฉ้อโกงมีอะไรบ้าง หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าคดีฉ้อโกงติดคุกไหม หรือมีค่าหรับอย่างไรบ้าง โดยอัตราโทษของคดีฉ้อโกงแตกต่างกันไปตามความร้ายแรงและรูปแบบของการกระทำความผิด ดังนี้: คดีฉ้อโกงมีอายุความกี่ปี ระยะเวลาการฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจะมีการดำเนินคดีแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆ คือ คดีฉ้อโกง สามารถไกล่เกลี่ยได้ไหม คดีฉ้อโกง สามารถไกล่เกลี่ยได้ ในเกือบทุกกรณี เนื่องจากถือเป็นความผิดอันยอมความได้ นั่นหมายความว่าทั้งฝ่ายผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดมีโอกาสที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน

Doctor is holding medical law.
Blog, Thai Version

เปิดคลินิกเสริมความงามต้องรู้: กฎหมายและขั้นตอนขอใบอนุญาตคลินิก

(Opening a Beauty Clinic: Legal Requirements and Licensing Process) บทนำ: ประเทศไทยกำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจสุขภาพและความงาม โดยมีนักธุรกิจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเปิด “คลินิกเสริมความงาม” เป็นจำนวนมาก การเปิดคลินิกความงามนั้นมีโอกาสเติบโตสูง แต่ก่อนจะเริ่มลงมือ สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตาม กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจถูกต้อง ปลอดภัย และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย บทความนี้จะอธิบายข้อกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องทราบในการเปิดคลินิกเสริมความงาม ตั้งแต่การขอ ใบอนุญาตสถานพยาบาล เอกสารและขั้นตอนที่จำเป็น ใบประกอบวิชาชีพ ของบุคลากรทางการแพทย์ มาตรฐานสถานที่ตามเกณฑ์กระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนข้อควรระวังทางกฎหมายอื่นๆ ในแบบที่เข้าใจง่ายและเป็นกันเอง แต่ยังคงความถูกต้องตามหลักสำนักงานกฎหมายสากล ความสำคัญของใบอนุญาตสถานพยาบาล การได้รับ ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล (Clinic License) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญยิ่งในการเปิดคลินิกเสริมความงามในประเทศไทย กฎหมายกำหนดไว้ว่าการประกอบกิจการสถานพยาบาล (เช่น คลินิกเวชกรรมหรือคลินิกเสริมความงาม) ต้องมีใบอนุญาต จากกระทรวงสาธารณสุขก่อนเปิดดำเนินการ หากเปิดกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือเป็น “คลินิกเถื่อน” ซึ่งมีโทษทางอาญาสูง ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ผู้ใดดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากเกิดความเสียหายต่อผู้รับบริการ เจ้าของกิจการอาจถูกฟ้องร้องทางอาญาและแพ่งได้ ดังนั้นใบอนุญาตสถานพยาบาลเปรียบเสมือนหลักประกันว่าคลินิกของท่านดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ ควรทราบว่าไม่ใช่บริการความงามทุกประเภทจะต้องขอใบอนุญาตสถานพยาบาล หากเป็นบริการเสริมความงามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ (เช่น การทำสปาหรือร้านเสริมสวยทั่วไป) อาจเข้าข่ายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพซึ่งมีกฎหมายเฉพาะต่างหาก อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการด้านความงามที่มีการใช้เครื่องมือแพทย์ ยา หรือการฉีดสารต่างๆ เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ฯลฯ ถือเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ที่ต้องดำเนินการโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การเปิด “คลินิกเสริมความงาม” จึงอยู่ภายใต้กฎหมายสถานพยาบาลอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการจึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนขอใบอนุญาตอย่างครบถ้วน กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเปิดคลินิกความงาม การเปิดคลินิกเสริมความงามในไทยเกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบหลายฉบับ กฎหมายหลัก ที่ควรทราบ ได้แก่: คุณสมบัติของผู้ประกอบการและใบประกอบวิชาชีพของบุคลากร ผู้ประกอบการ/เจ้าของคลินิก: โดยหลักแล้ว ผู้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจะต้องบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไป) มีสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในไทย และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด (เช่น ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยต้องคดีร้ายแรง) ในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นนิติบุคคล บริษัทนั้นต้องจดทะเบียนในประเทศไทยและเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (เช่น มีคนไทยถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง หากกิจการนั้นเข้าข่ายตามบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว) ส่วนนักลงทุนชาวต่างชาติ แม้จะไม่สามารถถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจสถานพยาบาลได้โดยตรง (เพราะธุรกิจการแพทย์จัดเป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน) แต่ก็สามารถร่วมลงทุนผ่านการจัดตั้งบริษัทกับหุ้นส่วนคนไทย หรือใช้สิทธิ์ตามการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในบางกรณี ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติที่สนใจควรปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายเพื่อวางโครงสร้างธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (Medical Director): คลินิกความงามทุกแห่งต้องมี “แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล” ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการรักษาและการดำเนินงานทางการแพทย์ของคลินิก แพทย์ผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่ยื่นขอใบอนุญาต ใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (ซึ่งออกให้แก่แพทย์ในตำแหน่งนี้โดยเฉพาะ) ควบคู่กับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ ของเจ้าของคลินิก บทบาทของแพทย์ผู้ดำเนินการมีความสำคัญมากเพราะต้องกำกับมาตรฐานการรักษา ความปลอดภัยของเครื่องมือแพทย์ และตรวจสอบให้แพทย์หรือพนักงานทุกคนปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ หากแพทย์ผู้ดำเนินการละเลยหน้าที่ ปล่อยให้มีการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือยอมให้ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์มาทำหัตถการแทน แพทย์ผู้ดำเนินการผู้นั้นจะมีความผิดตามกฎหมายด้วย ทั้งแพทยสภาและกรม สบส. (สนับสนุนบริการสุขภาพ) ได้กำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในกรณี “แพทย์แขวนป้าย” คือแพทย์ที่ให้ผู้อื่นใช้ชื่อของตนในการเปิดคลินิกแต่ตนเองไม่อยู่ควบคุมจริง ปัจจุบันหากตรวจพบ แพทยสภาจะสั่งพักใช้ใบอนุญาตแพทย์ผู้นั้นอย่างน้อย 1 ปีทันที และหากกระทำผิดซ้ำหลายครั้งอาจโดนเพิกถอนใบอนุญาตถาวร นอกจากนี้ตามกฎหมายสถานพยาบาล เจ้าของคลินิกและแพทย์ที่ยินยอมให้มีการแขวนป้ายจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท อีกด้วย บุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ: นอกจากแพทย์ผู้ดำเนินการแล้ว คลินิกควรมีทีมแพทย์ผู้ให้บริการ (เช่น แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง ขึ้นกับบริการของคลินิก) ซึ่งแพทย์ทุกท่านต้องมีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง และปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ผู้ดำเนินการ สำหรับพยาบาลหรือผู้ช่วยทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ช่วยแพทย์ในห้องหัตถการ ก็ควรมีใบประกอบวิชาชีพพยาบาลหรือใบประกาศนียบัตรที่เกี่ยวข้องตามประเภทงาน

Blog, Thai Version

กฎหมายธุรกิจในไทย: คู่มือเบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการ

การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ SMEs ขนาดย่อม ธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และการท่องเที่ยว ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎหมายธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างกรุงเทพมหานคร พัทยา ชลบุรี และระยอง มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท การมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจไทยจะช่วยให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจในประเทศไทย โดยมีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัท การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายเฉพาะทางสำหรับประเภทธุรกิจต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการชาวไทยหรือนักลงทุนต่างชาติ คู่มือนี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของข้อกฎหมายที่ควรรู้เมื่อทำธุรกิจในประเทศไทย การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย รูปแบบนิติบุคคล: การประกอบธุรกิจในไทยนิยมดำเนินการในรูปแบบ บริษัทจำกัด (Limited Company) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากตัวผู้ถือหุ้น มีความรับผิดจำกัดตามมูลค่าหุ้นที่ถือ ขั้นตอนแรกในการเริ่มธุรกิจคือการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยต้องยื่นจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจัดให้มีการประชุมจัดตั้งบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนปี พ.ศ. 2566 กฎหมายกำหนดให้ต้องมีผู้ก่อการอย่างน้อย 3 คนในการจัดตั้งบริษัท แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่กำหนดให้มีผู้ก่อการเพียง 2 คนก็สามารถจดทะเบียนบริษัทจำกัดได้ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น ทุนจดทะเบียน: บริษัทจำกัดในไทยไม่มีข้อกำหนดทุนขั้นต่ำที่สูงมากนัก (ยกเว้นกรณีมีชาวต่างชาติถือหุ้นเกินกว่ากฎหมายกำหนดหรือกรณีขอใบอนุญาตบางประเภท) อย่างไรก็ตาม ทุนจดทะเบียนควรมีความเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ และ ทุกครั้งที่มีการชำระค่าหุ้น ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นไม่น้อยกว่า 25% ของมูลค่าหุ้นที่จอง ในช่วงจัดตั้งบริษัท (ตามที่กฎหมายกำหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ทั้งนี้ การมีทุนจดทะเบียนที่น่าเชื่อถือยังเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย ขั้นตอนการจดทะเบียน: การจดทะเบียนบริษัทเริ่มจากการจองชื่อบริษัทไม่ให้ซ้ำกับรายชื่อที่มีอยู่แล้ว จากนั้นจัดทำและยื่น หนังสือบริคณห์สนธิ (Memorandum of Association) ที่ระบุชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ ที่ตั้ง สำนักงานใหญ่ ทุนจดทะเบียน และข้อมูลผู้ก่อการ ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อได้รับการอนุมัติชื่อและตรวจสอบเอกสารแล้ว ผู้ก่อการจะจัดประชุมจัดตั้งบริษัทเพื่อแต่งตั้งกรรมการและรับรองข้อบังคับบริษัท เมื่อประชุมจัดตั้งเสร็จสิ้น กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งจะนำรายงานการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธุรกิจจะถือว่าเป็นนิติบุคคลสมบูรณ์เมื่อได้รับใบสำคัญการจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว สำนักงานตัวแทนต่างชาติ: สำหรับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาตั้งฐานธุรกิจในไทยโดยไม่ถึงกับจัดตั้งเป็นบริษัทสัญชาติไทยเต็มรูปแบบ อาจเลือกจัดตั้ง “สำนักงานตัวแทน” (Representative Office) ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่บริษัทแม่ในต่างประเทศจัดตั้งขึ้นในไทยเพื่อทำกิจการบางอย่าง เช่น สำรวจข้อมูลตลาดหรือประสานงาน โดยสำนักงานตัวแทนจะ ไม่ได้รับอนุญาตให้หารายได้หรือรับชำระค่าสินค้าบริการในประเทศไทย (ทำหน้าที่เป็นผู้แทนประสานงานเท่านั้น) การจัดตั้งสำนักงานตัวแทนต่างชาติต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกฎหมายกำหนดให้มี ทุนโอนเข้ามาเพื่อใช้ดำเนินการขั้นต่ำ 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา การเปิดสำนักงานตัวแทนได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว” ภายใต้ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยให้เพียงแค่ยื่นจดแจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากลงไปมาก ทะเบียนพาณิชย์: สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือกิจการเจ้าของคนเดียว (sole proprietorship) ที่อาจยังไม่พร้อมจดทะเบียนในรูปบริษัท กฎหมายไทยกำหนดให้ธุรกิจการค้าทั่วไปต้องจดทะเบียนพาณิชย์กับสำนักงานเขตหรือเทศบาลในท้องที่ที่ประกอบกิจการเพื่อแสดงตัวตนของกิจการตามกฎหมาย (ได้ใบทะเบียนพาณิชย์หรือที่เรียกว่า “ใบทะเบียนการค้า”) การจดทะเบียนพาณิชย์นี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่งควรดำเนินการภายใน 30 วันนับแต่เริ่มประกอบกิจการ การมีทะเบียนพาณิชย์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจและเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินงานด้านภาษีด้วย กฎหมายบริษัทและกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง เมื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว ผู้ประกอบการควรทราบถึง บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการของนิติบุคคล สิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ การจัดทำ ตราสารหรือเอกสารหลักของบริษัท เช่น ข้อบังคับบริษัท ทะเบียนผู้ถือหุ้น ทะเบียนกรรมการ และหนังสือรับรองต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงต้องมี ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่จดทะเบียนไว้ชัดเจน ซึ่งอาจใช้เป็นสถานที่ติดต่อและรับส่งเอกสารราชการต่าง ๆ การบริหารจัดการและหน้าที่กรรมการ: บริษัทจำกัดจะมี คณะกรรมการบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยกรรมการหนึ่งคนขึ้นไป (แล้วแต่ที่ระบุในข้อบังคับหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้ง) หน้าที่ของกรรมการถูกกำหนดไว้ตามกฎหมาย เช่น ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริตต่อบริษัท (fiduciary duty) หากกรรมการกระทำการใด ๆ โดยทุจริตหรือฝ่าฝืนหน้าที่จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท กรรมการอาจต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาจมีความผิดทางอาญาในบางกรณี นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดให้กรรมการต้องจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อรับรองงบการเงินและเรื่องสำคัญ เช่น การจ่ายเงินปันผลหรือการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการบริษัทเองก็สามารถทำได้อย่างสะดวกขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยอมรับให้สามารถจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ (ตามพระราชกฤษฎีกาการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.

Blog, Thai Version

การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาในไทย: สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

ความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาในการดำเนินการธุรกิจ ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property – IP) ถือเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้แต่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายการค้า (ตราสินค้า โลโก้) สิทธิบัตร (การคุ้มครองนวัตกรรม) หรือแม้กระทั่งลิขสิทธิ์ (งานเขียน งานศิลปะ ซอฟต์แวร์) สำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในพื้นที่สำคัญของไทย เช่น กรุงเทพมหานคร ชลบุรี พัทยา และระยอง การทำความเข้าใจและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาถือเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันและมูลค่าของธุรกิจ หากไม่มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสม ธุรกิจมีความเสี่ยงที่จะถูกลอกเลียนแบบทั้งสินค้า บริการ หรือแบรนด์ อันอาจส่งผลให้สูญเสียรายได้และชื่อเสียงของบริษัท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยมีการปรับปรุงดีขึ้น รัฐบาลมีความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คำแนะนำสำหรับนักลงทุนต่างชาติคือควรดำเนินการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจในตลาดไทย เช่น จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรล่วงหน้า และใช้สัญญารักษาความลับ (Non-Disclosure Agreements, NDA) กับคู่ค้า เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยกรมทรัพย์สินทางปัญญา (Department of Intellectual Property – DIP) สังกัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลการจดทะเบียนและการบังคับใช้สิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศ นักธุรกิจต่างชาติควรทราบว่าการยื่นขอคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในไทยจำเป็นต้องมีที่อยู่หรือผู้รับมอบอำนาจในประเทศไทย เพื่อรับการติดต่อราชการและดำเนินการต่างๆซึ่งหมายความว่าท่านต้องแต่งตั้งตัวแทนหรือทนายความในไทยเพื่อดำเนินเรื่องการจดทะเบียนเหล่านี้ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย (Trademark Registration Thailand) เหตุผลที่ควรจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า: เครื่องหมายการค้าเป็นตัวแทนแบรนด์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยจะทำให้ท่านมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้ชื่อหรือโลโก้นั้นกับสินค้าหรือบริการที่จดทะเบียน และสามารถป้องกันผู้อื่นไม่ให้นำเครื่องหมายที่เหมือนหรือคล้ายไปใช้ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสนกับธุรกิจของท่าน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: เครื่องหมายการค้าในไทยอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎหมายฉบับที่ 2 และ 3) ซึ่งมีหลักการ “จดก่อนใช้” หมายความว่าสิทธิในเครื่องหมายการค้าจะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียนเป็นหลักไม่ใช่จากการใช้เหมือนบางประเทศดังนั้นการจดทะเบียนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเครื่องหมายการค้าที่สามารถจดทะเบียนได้รวมถึงเครื่องหมายการค้า (trademark) สำหรับสินค้าเครื่องหมายบริการ (service mark) สำหรับบริการ เครื่องหมายรับรอง และ เครื่องหมายร่วม โดยเครื่องหมายที่จะจดต้องมีลักษณะบ่งเฉพาะ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี และไม่ละเมิดเครื่องหมายของผู้อื่นที่มีอยู่เดิม ผู้ยื่นคำขอต่างชาติ: นักธุรกิจหรือบริษัทต่างชาติสามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยได้ แต่จะต้องดำเนินการผ่านตัวแทนที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ขอจดจะต้องมอบอำนาจให้บุคคลหรือบริษัทในไทย (เช่น ทนายความหรือบริษัทตัวแทนทรัพย์สินทางปัญญา) เป็นผู้ยื่นคำขอต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาแทน กระบวนการนี้รวมถึงการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ เป็นภาษาไทยและมีที่อยู่สำหรับการติดต่อในประเทศไทย ขั้นตอนและระยะเวลา: การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเริ่มต้นจากการยื่นคำขอ (แบบ พ.ด. 01) ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา คำขอจะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางกฎหมายและตรวจสอบว่าไม่มีเครื่องหมายอื่นใดที่เหมือนหรือคล้ายกันจนสร้างความสับสน หากคำขอผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นกรมฯจะประกาศโฆษณาเครื่องหมายเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกคัดค้าน หากไม่มีการคัดค้านภายในระยะเวลาที่กำหนด เครื่องหมายจึงจะได้รับการจดทะเบียน ระยะเวลาตั้งแต่ยื่นคำขอจนได้รับจดทะเบียนประมาณ 12–18 เดือน หากไม่มีปัญหาหรือการคัดค้านใด ๆ เมื่อจดทะเบียนแล้ว เครื่องหมายการค้าจะได้รับความคุ้มครอง เป็นเวลา 10 ปีนับจากวันยื่นคำขอ และสามารถต่ออายุการคุ้มครองได้ทุก ๆ 10 ปี โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง (ต้องยื่นขอต่ออายุก่อนหมดอายุและชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด) ระบบระหว่างประเทศ: ประเทศไทยเป็นภาคีของระบบการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านานาชาติภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศสมาชิกมาดริดสามารถยื่นคำขอระหว่างประเทศเพื่อขยายความคุ้มครองมายังประเทศไทยได้โดยไม่ต้องยื่นคำขอตรงต่อแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมายื่นผ่านระบบมาดริด กรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยก็ยังคงพิจารณาคำขอตามกฎหมายไทย อยู่ดี และอาจปฏิเสธคำขอหากเครื่องหมายนั้นขัดต่อหลักเกณฑ์ท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรจำไว้ว่าเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในต่างประเทศจะไม่ได้รับความคุ้มครองในประเทศไทยโดยอัตโนมัติ ท่านยังคงต้องดำเนินการจดทะเบียนในประเทศไทยเองเพื่อให้มีสิทธิตามกฎหมายไทย ประโยชน์จากการจดทะเบียน: เมื่อเครื่องหมายการค้าได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทยแล้ว เจ้าของเครื่องหมายจะมีสิทธิ์เด็ดขาดในการใช้เครื่องหมายนั้นกับสินค้าหรือบริการตามที่จดทะเบียน และสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ละเมิดสิทธิ์ได้โดยทันที ซึ่งรวมถึงสิทธิในการขอคำสั่งศาลให้ระงับการใช้เครื่องหมายที่ละเมิด และเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ละเมิด นอกจากนี้

Blog, Thai Version

บริการทนายบ้านและคอนโด ช่วยเหลือการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของทั้งชาวไทยและต่างชาติ

สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ Jirawat & Associates Law Office พร้อมให้คำปรึกษาและบริการทนายบ้านและคอนโด บริการกฎหมายเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เช่าบ้าน คอนโด ที่ดิน พร้อมช่วยเหลือการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตรวจสอบสัญญาซื้อขายบ้านและคอนโดให้มีความเป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย บริการทนายบ้านและคอนโด สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ Jirawat & Associates Law Office พร้อมให้คำปรึกษาและบริการทนายบ้านและคอนโดด้านต่างๆ ดังนี้ บริการด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ Jirawat & Associates Law Office มีบริการกฎหมายเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตั้งแต่การตรวจสอบสถานะทางกฎหมายของอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ สามารถทำนิติกรรมซื้อ-ขาย หรือเช่าได้อย่างถูกต้อง ไม่มีการแอบอ้าง หรือติดสัญญาอื่นๆ ที่อาจส่งผลเสียในอนาคตได้ พร้อมทั้งตรวจสอบและร่างสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ด้วยความยุติธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีนิติกรรมแอบแฝง รวมถึงการดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดให้มีความราบรื่นและรวดเร็ว พร้อมกับให้คำปรึกษาด้านภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การบริการตรวจสอบสัญญาซื้อขายบ้านและคอนโด ทนายบ้านและคอนโดของ Jirawat & Associates Law Office พร้อมให้บริการตรวจสอบสัญญาซื้อขายบ้านและคอนโด เพื่อให้ผู้ที่มาใช้บริการมั่นใจได้ว่า สัญญาฉบับต่างๆ นั้นมีความชัดเจน เป็นธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่มีนัยยะแอบแฝงใดๆ ที่สามารถส่งผลกระทบ หรือทำให้เสียเปรียบ รวมถึงการตรวจสอบสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ให้มีความรัดกุม เพื่อป้องกันความผิดพลาดและทำให้เกิดข้อพิพาทในเรื่องต่างๆ ได้ในอนาคต การตรวจสอบสัญญาซื้อขายบ้านและคอนโดของเรานั้น ทำด้วยขั้นตอนที่มีความละเอียด และเป็นไปตามระบบ ตั้งแต่การรับเรื่องตรวจสอบจากทางลูกความ การตรวจสอบอำนาจตามกฎหมายของสัญญาดังกล่าว การตรวจสอบร่างสัญญาซื้อ-ขาย-เช่า หรือการทำนิติกรรมต่างๆ ให้มีความถูกต้อง ไม่มีจุดที่เอารัดเอาเปรียบ ไปจนถึงการตรวจสอบเอกสารประกอบสัญญาว่ามีความถูกต้อง ตรงกับข้อมูลภายในสัญญาหรือไม่ เพื่อยืนยันว่า สัญญาฉบับดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือ และสามารถเซ็นสัญญาเพื่อนิติกรรมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในสัญญา คือความถูกต้องของข้อมูลต่างๆ ภายในสัญญาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้มีการแอบอ้างหรือปกปิดข้อมูลใดๆ เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รวมถึงรายละเอียดและข้อตกลงสัญญาต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และถูกต้องตามหลักความเป็นจริง เพื่อให้สัญญามีผลบังคับใช้จริง และไม่เป็นโมฆะตามกฎหมาย ตั้งแต่ชื่อของคู่สัญญา รายละเอียดของทรัพย์สิน เงื่อนไขในการซื้อขายต่างๆ รวมถึงการบอกเลิกสัญญา และการชดเชยต่างๆ อย่างเช่นในสัญญาเช่าบ้านและคอนโด โดยทีมทนายอสังหาริมทรัพย์จะตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าสัญญาซื้อขายนั้นจะมีความซื่อตรง ถูกต้อง และไม่เอารัดเอาเปรียบกันจนถึงที่สุด กระบวนการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโด สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและทนายความ Jirawat & Associates Law Office พร้อมให้บริการทนายอสังหาริมทรัพย์ ช่วยดูแลกระบวนการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดหลังตกลงซื้อ-ขาย ให้มีความราบรื่น รวดเร็ว และถูกต้องตามกฎหมาย โดยเริ่มตั้งแต่การจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นในการโอนกรรมสิทธิ์ ได้แก่ เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ขาย เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อต่างชาติ นอกจากจัดการรวบรวมเอกสารแล้ว เรายังตรวจสอบข้อมูลภายในเอกสารต่างๆ  ว่ามีความถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่มีการแอบอ้าง รวมถึงการตรวจสอบภาระผูกพันของอสังหาริมทรัพย์ว่าไม่มีการทำสัญญาจำนอง ขายฝาก หรือสัญญาอื่นๆ แอบแฝง เพื่อให้มั่นใจว่าการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์จะเป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่มีผลกระทบอื่นๆ

Scroll to Top