demo.jirawatlawoffice

Blog

การจดทะเบียนพาณิชย์คืออะไร บอกข้อควรรู้ก่อนเริ่มทำธุรกิจ
Blog, Thai Version

การจดทะเบียนพาณิชย์คืออะไร บอกข้อควรรู้ก่อนเริ่มทำธุรกิจ

ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ การจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้องตามกฎหมายถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะทำธุรกิจส่วนตัวหรือธุรกิจออนไลน์ก็ตาม เพราะหากไม่จดทะเบียนหรือหลีกเลี่ยงไม่จด อาจมีบทลงโทษทางกฎหมายตามมาในภายหลัง ดังนั้น เมื่อต้องการสร้างและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนก็จำเป็นต้องศึกษา “การจดทะเบียนพาณิชย์” ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร การจดทะเบียนพาณิชย์ คือ การจดแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพื่อแสดงตัวตนของธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยใบทะเบียนพาณิชย์เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ และเป็นหลักฐานทางการค้าที่สำคัญที่ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลต้องมีไว้ ทั้งนี้การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่ใช่การเสียภาษี แต่เป็นเพียงการแจ้งให้รัฐทราบว่ากำลังดำเนินธุรกิจอยู่ ใครบ้างต้องจดทะเบียนพาณิชย์ อันดับแรกก่อนทำการจดทะเบียนการค้า ต้องตรวจสอบว่าธุรกิจดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ของผู้ที่มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์หรือไม่ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้แบ่งออกไว้เป็น 5 ประเภท ดังนี้ ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการเป็นคนต่างด้าวหรือเป็นสำนักงานสาขาต่างประเทศที่ถูกตั้งขึ้นมา ต้องตรวจสอบว่ากิจการค้าที่ดำเนินการได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือไม่ โดยจำเป็นต้องได้รับอนุญาตก่อน จึงจะสามารถยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ได้ ส่วนกิจการที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่ วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ ในการจดทะเบียนพาณิชย์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1. ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร สามารถจดทะเบียนการค้าได้ทั้งหมด 3 แห่ง คือ สำนักงานเขตที่ธุรกิจตั้งอยู่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักการคลัง 2. ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่อยู่ต่างจังหวัด สามารถจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่เทศบาล หรือองค์การบริการส่วนตำบลที่ธุรกิจตั้งอยู่ โดยผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หรือนิติบุคคลจำเป็นต้องเตรียมเอกสารสำคัญ ดังนี้ กรณีเป็นนิติบุคคลต่างประเทศ ต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ได้แก่ จดทะเบียนพาณิชย์และจดทะเบียนบริษัท ต่างกันอย่างไร สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอาจสับสนว่า จดทะเบียนพาณิชย์และจดทะเบียนบริษัทต่างกันอย่างไร โดยทั้งสองรูปแบบมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ สถานะทางกฎหมาย การจดทะเบียนพาณิชย์เป็นการแจ้งให้รัฐทราบว่าคุณกำลังดำเนินธุรกิจ โดยไม่ได้สร้างสถานะทางกฎหมายใหม่แต่อย่างใด ธุรกิจและเจ้าของยังคงเป็นบุคคลเดียวกันในทางกฎหมาย ในขณะที่ การจดทะเบียนบริษัทเป็นการสร้างนิติบุคคลใหม่แยกออกจากตัวผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทสามารถทำนิติกรรมต่าง ๆ ในนามของตนเองได้ ความรับผิดชอบต่อหนี้สินและภาระผูกพัน ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการคือเรื่องความรับผิดชอบต่อหนี้สิน ในการจดทะเบียนพาณิชย์ เจ้าของกิจการต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจโดยไม่จำกัดจำนวน ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของสามารถถูกนำมาชำระหนี้ของกิจการได้ แต่ในการจดทะเบียนบริษัท ผู้ถือหุ้นจะรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนลงทุนไว้ในบริษัท ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวได้รับการคุ้มครอง ภาษี ในด้านภาษี การจดทะเบียนพาณิชย์จะเสียภาษีแบบขั้นบันไดตามรายได้ สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือตามจริงได้ ส่วนการจดทะเบียนบริษัท จะเสียภาษีในอัตราคงที่ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ แต่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงและมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายประการ ความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจ การจดทะเบียนบริษัทสามารถแสดงถึงความมั่นคงของธุรกิจ ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การประมูลงาน หรือการทำธุรกิจกับองค์กรขนาดใหญ่ได้ดีกว่า ในขณะที่การจดทะเบียนพาณิชย์อาจมีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่ก็เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น ข้อดีของการจดทะเบียนพาณิชย์ การจดทะเบียนพาณิชย์ ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมอบประโยชน์มากมายให้กับผู้ประกอบการที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือ โอกาสทางธุรกิจ และการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งสามารถแบ่งประโยชน์หลัก ๆ ออกเป็น 3 ด้านดังนี้ 1. ด้านธุรกิจ การมีใบทะเบียนพาณิชย์ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ เพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีตัวตนที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจกับหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรใหญ่ที่ต้องการหลักฐานการจดทะเบียนประกอบการทำธุรกรรม อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางการค้าในการติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  2. ด้านการเงิน ทะเบียนพาณิชย์ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถใช้เป็นเอกสารประกอบการขอสินเชื่อธุรกิจ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการขอการสนับสนุนจากโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือโครงการส่งเสริม SMEs ต่าง ๆ ที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์อย่างถูกต้อง 3. ด้านกฎหมาย แน่นอนว่าการดำเนินกิจการที่ผ่านการจดทะเบียนพาณิชย์ช่วยให้ธุรกิจได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่ หากเกิดข้อพิพาททางการค้าก็สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายในนามของกิจการได้ […]

ทำความรู้จักคดีฉ้อโกงคืออะไร มีเรื่องอะไรที่ควรทราบเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงบ้าง
Blog, Thai Version

ทำความรู้จักคดีฉ้อโกงคืออะไร มีเรื่องอะไรที่ควรทราบเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงบ้าง

ในปัจจุบัน เราอาจได้ยินข่าวเกี่ยวกับการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางออนไลน์ การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า หรือแม้แต่การหลอกลวงในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนต่างๆ โดยทั้งหมดนี้ล้วนเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายที่เรียกว่า คดีฉ้อโกง ทั้งสิ้น โดยบทความนี้ Jirawat & Associates จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงให้มากขึ้น ทั้งความหมาย ลักษณะของความผิด บทลงโทษ รวมถึงแนวทางในการดำเนินการเมื่อตกเป็นผู้เสียหายจากการฉ้อโกง คดีฉ้อโกงคืออะไร คดีฉ้อโกง เป็นความผิดในทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้กลอุบายล่อลวงบุคคลอื่น ด้วยวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง หรือการตั้งใจปิดบังข้อเท็จจริงที่ควรเปิดเผย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์หรือทรัพย์สินจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ หรือเพื่อชักจูงให้บุคคลผู้นั้นกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง โดยการจะพิจารณาว่าการกระทำใดเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงหรือไม่นั้น จุดสังเกตแรกคือ ต้องมีการวางแผนทุจริตไว้ล่วงหน้า มีการใช้กลวิธีต่างๆ ที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด โดยการกล่าวอ้างเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริงในอดีตหรือปัจจุบัน และถึงแม้จะเป็นเพียงการให้สัญญาเกี่ยวกับอนาคต แต่หากมีรากฐานจากการบิดเบือนสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็จะถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการกระทำที่เรียกว่า “คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” ที่เป็นความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดด้านการฟอกเงินด้วย โดยคำว่า “ปกติธุระ” หมายถึงการที่บุคคลมีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำๆ กันมากกว่า 1 ครั้ง หรือมีเจตนาที่จะกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง คดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่งหรืออาญา คดีฉ้อโกงเป็นคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ที่ระบุว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตัวอย่างคดีฉ้อโกง มีแบบไหนบ้าง คดีฉ้อโกงสามารถปรากฏขึ้นได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การล่อลวงรายบุคคลไปจนถึงการหลอกลวงในวงกว้าง โดยตัวอย่างคดีฉ้อโกงที่พบเห็นได้บ่อย เช่น 1. การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า เช่น การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์แล้วได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้ หรือไม่ได้รับสินค้าเลยหลังจากชำระเงิน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ยังอาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์อีกด้วย 2. การชักชวนให้ร่วมธุรกิจ เช่น การชักจูงให้บุคคลเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าผ่านการนำเสนอภาพสินค้าที่น่าดึงดูด แต่เมื่อมีการโอนเงินและสั่งซื้อสินค้าแล้ว กลับจัดส่งสินค้าด้อยคุณภาพหรือไม่จัดส่งใดๆ เลย ส่งผลให้บุคคลนั้นเสียทรัพย์ 3. การฉ้อโกงในธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ เช่น การสวมรอยเป็นนายหน้าขายที่ดิน ชักจูงให้เจ้าของที่ดินลงนามในสัญญาจองหรือมัดจำ โดยชำระเงินเพียงบางส่วน ก่อนที่จะร่วมมือกับพวกพ้องดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือตามข้อตกลง 4. การเบี้ยวค่าบริการต่าง เช่น การใช้บริการร้านอาหารหรือโรงแรมโดยมีความตั้งใจที่จะไม่ชำระเงิน หรือแอบอ้างว่าได้ทำการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการจริงๆ 5. การเอาเปรียบแรงงาน เช่น กรณีการหลอกลวงให้ทำงานตามที่ตกลงไว้ หรือมีการ แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่ทำตามข้อตกลง ไม่จ่ายค่าแรง หรือจ่ายน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแรงงาน อัตราโทษของคดีฉ้อโกงมีอะไรบ้าง หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าคดีฉ้อโกงติดคุกไหม หรือมีค่าหรับอย่างไรบ้าง โดยอัตราโทษของคดีฉ้อโกงแตกต่างกันไปตามความร้ายแรงและรูปแบบของการกระทำความผิด ดังนี้: คดีฉ้อโกงมีอายุความกี่ปี ระยะเวลาการฟ้องร้องคดีฉ้อโกงจะมีการดำเนินคดีแบ่งเป็น 2 ช่วงหลักๆ คือ คดีฉ้อโกง สามารถไกล่เกลี่ยได้ไหม คดีฉ้อโกง สามารถไกล่เกลี่ยได้ ในเกือบทุกกรณี เนื่องจากถือเป็นความผิดอันยอมความได้ นั่นหมายความว่าทั้งฝ่ายผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดมีโอกาสที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน

Blog, English Version

Understanding 30-Year Leasehold Agreements in Thailand:Rights, Risks, and Renewals for Foreigners

1. Introduction: The Allure and The Reality of Leasing in Thailand Thailand’s stunning beaches, vibrant culture, and favorable climate have long attracted foreign nationals seeking a slice of paradise. Whether you’re an expat building a new life, a retiree seeking year-round sunshine, or an investor eyeing Thailand’s growing property market, you’ve likely discovered one fundamental legal reality: foreigners cannot directly own land in Thailand. This restriction leads many to consider the primary alternative—the 30-year lease Thailand foreigner option that provides long-term property rights within the Kingdom’s legal framework. The 30-year leasehold agreement stands as the cornerstone legal instrument for foreigners seeking stable, long-term property arrangements in Thailand. While this mechanism offers genuine security and substantial rights, it comes with complexities that demand careful navigation. This comprehensive guide provides

Blog, English Version

Essential Due Diligence for Foreign Property Buyers in Thailand: Protecting Your Investment

Essential Due Diligence for Foreign Property Buyers in Thailand: Protecting Your Investment Thailand’s stunning beaches, vibrant culture, and year-round tropical climate make it an irresistible destination for property investment. Whether you’re dreaming of a beachfront condo in Phuket, a modern apartment in Bangkok’s bustling center, or a peaceful retirement home in Chiang Mai, Thailand offers incredible opportunities for foreign property buyers. But here’s what you need to know upfront: Thailand’s real estate industry operates with minimal regulation and offers limited legal protection for buyers. Unlike property markets in many Western countries, there’s no comprehensive regulatory framework safeguarding your interests. This reality doesn’t mean you should avoid investing – it means you need to be smarter about how you approach it. This guide provides you with a clear, actionable checklist

Blog, English Version

Foreigners Buying Condominiums in Thailand

A Complete Guide to Freehold Ownership 1. Introduction: Why Thai Condominiums are a Magnet for Global Buyers ? Thailand’s condominium market has become increasingly attractive to international buyers seeking investment opportunities, retirement homes, or a permanent base in Southeast Asia. With its stable economy, world-class infrastructure, and enviable lifestyle offerings, Thailand presents a compelling case for property investment. Prime locations like Bangkok, Phuket, and Pattaya have seen consistent demand, offering both capital appreciation potential and attractive rental yields. 1.1 Overview of Thailand’s Thriving Real Estate Market Thailand’s real estate market has demonstrated remarkable resilience and growth over the past decade. Bangkok’s luxury condominium segment has shown steady appreciation rates of 5-8% annually, while tourist destinations like Phuket have bounced back strongly post-pandemic with renewed international interest. The combination

Beautician wearing pink gloves massaging face of young blonde woman lying on couch with closed eyes after injection treatment in beauty clinic
Blog, English Version

Opening a Beauty Clinic: Legal Requirements and Licensing Process

Introduction: Bangkok has emerged as a thriving hub for health and wellness businesses, attracting both Thai and international entrepreneurs to invest in beauty clinics. Establishing an aesthetic or beauty clinic can be highly rewarding, but it also involves navigating a complex landscape of Thai laws and regulations. Ensuring legal compliance not only avoids penalties but also builds trust with clients in this safety-sensitive industry. This article provides a comprehensive overview—delivered in a friendly yet professional tone—of the legal requirements and licensing process for opening a beauty clinic in Thailand. We will cover the necessary clinic licenses, relevant laws such as healthcare facility regulations and medical professional requirements, the step-by-step licensing procedure, Ministry of Public Health standards for clinic premises, as well as key legal pitfalls to avoid. Whether you are a local entrepreneur or a

Doctor is holding medical law.
Blog, Thai Version

เปิดคลินิกเสริมความงามต้องรู้: กฎหมายและขั้นตอนขอใบอนุญาตคลินิก

(Opening a Beauty Clinic: Legal Requirements and Licensing Process) บทนำ: ประเทศไทยกำลังเติบโตเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจสุขภาพและความงาม โดยมีนักธุรกิจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเปิด “คลินิกเสริมความงาม” เป็นจำนวนมาก การเปิดคลินิกความงามนั้นมีโอกาสเติบโตสูง แต่ก่อนจะเริ่มลงมือ สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตาม กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจถูกต้อง ปลอดภัย และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย บทความนี้จะอธิบายข้อกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องทราบในการเปิดคลินิกเสริมความงาม ตั้งแต่การขอ ใบอนุญาตสถานพยาบาล เอกสารและขั้นตอนที่จำเป็น ใบประกอบวิชาชีพ ของบุคลากรทางการแพทย์ มาตรฐานสถานที่ตามเกณฑ์กระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนข้อควรระวังทางกฎหมายอื่นๆ ในแบบที่เข้าใจง่ายและเป็นกันเอง แต่ยังคงความถูกต้องตามหลักสำนักงานกฎหมายสากล ความสำคัญของใบอนุญาตสถานพยาบาล การได้รับ ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล (Clinic License) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญยิ่งในการเปิดคลินิกเสริมความงามในประเทศไทย กฎหมายกำหนดไว้ว่าการประกอบกิจการสถานพยาบาล (เช่น คลินิกเวชกรรมหรือคลินิกเสริมความงาม) ต้องมีใบอนุญาต จากกระทรวงสาธารณสุขก่อนเปิดดำเนินการ หากเปิดกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือเป็น “คลินิกเถื่อน” ซึ่งมีโทษทางอาญาสูง ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ผู้ใดดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากเกิดความเสียหายต่อผู้รับบริการ เจ้าของกิจการอาจถูกฟ้องร้องทางอาญาและแพ่งได้ ดังนั้นใบอนุญาตสถานพยาบาลเปรียบเสมือนหลักประกันว่าคลินิกของท่านดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ ควรทราบว่าไม่ใช่บริการความงามทุกประเภทจะต้องขอใบอนุญาตสถานพยาบาล หากเป็นบริการเสริมความงามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ (เช่น การทำสปาหรือร้านเสริมสวยทั่วไป) อาจเข้าข่ายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพซึ่งมีกฎหมายเฉพาะต่างหาก อย่างไรก็ตาม การทำหัตถการด้านความงามที่มีการใช้เครื่องมือแพทย์ ยา หรือการฉีดสารต่างๆ เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ฯลฯ ถือเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ที่ต้องดำเนินการโดยแพทย์ในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การเปิด “คลินิกเสริมความงาม” จึงอยู่ภายใต้กฎหมายสถานพยาบาลอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการจึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนขอใบอนุญาตอย่างครบถ้วน กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเปิดคลินิกความงาม การเปิดคลินิกเสริมความงามในไทยเกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบหลายฉบับ กฎหมายหลัก ที่ควรทราบ ได้แก่: คุณสมบัติของผู้ประกอบการและใบประกอบวิชาชีพของบุคลากร ผู้ประกอบการ/เจ้าของคลินิก: โดยหลักแล้ว ผู้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจะต้องบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไป) มีสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในไทย และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด (เช่น ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยต้องคดีร้ายแรง) ในกรณีที่ผู้ประกอบการเป็นนิติบุคคล บริษัทนั้นต้องจดทะเบียนในประเทศไทยและเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (เช่น มีคนไทยถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง หากกิจการนั้นเข้าข่ายตามบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว) ส่วนนักลงทุนชาวต่างชาติ แม้จะไม่สามารถถือหุ้นเกิน 49% ในธุรกิจสถานพยาบาลได้โดยตรง (เพราะธุรกิจการแพทย์จัดเป็นธุรกิจที่คนไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน) แต่ก็สามารถร่วมลงทุนผ่านการจัดตั้งบริษัทกับหุ้นส่วนคนไทย หรือใช้สิทธิ์ตามการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในบางกรณี ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติที่สนใจควรปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายเพื่อวางโครงสร้างธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (Medical Director): คลินิกความงามทุกแห่งต้องมี “แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล” ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการรักษาและการดำเนินงานทางการแพทย์ของคลินิก แพทย์ผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่ยื่นขอใบอนุญาต ใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล (ซึ่งออกให้แก่แพทย์ในตำแหน่งนี้โดยเฉพาะ) ควบคู่กับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ ของเจ้าของคลินิก บทบาทของแพทย์ผู้ดำเนินการมีความสำคัญมากเพราะต้องกำกับมาตรฐานการรักษา ความปลอดภัยของเครื่องมือแพทย์ และตรวจสอบให้แพทย์หรือพนักงานทุกคนปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ หากแพทย์ผู้ดำเนินการละเลยหน้าที่ ปล่อยให้มีการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือยอมให้ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์มาทำหัตถการแทน แพทย์ผู้ดำเนินการผู้นั้นจะมีความผิดตามกฎหมายด้วย ทั้งแพทยสภาและกรม สบส. (สนับสนุนบริการสุขภาพ) ได้กำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้นในกรณี “แพทย์แขวนป้าย” คือแพทย์ที่ให้ผู้อื่นใช้ชื่อของตนในการเปิดคลินิกแต่ตนเองไม่อยู่ควบคุมจริง ปัจจุบันหากตรวจพบ แพทยสภาจะสั่งพักใช้ใบอนุญาตแพทย์ผู้นั้นอย่างน้อย 1 ปีทันที และหากกระทำผิดซ้ำหลายครั้งอาจโดนเพิกถอนใบอนุญาตถาวร นอกจากนี้ตามกฎหมายสถานพยาบาล เจ้าของคลินิกและแพทย์ที่ยินยอมให้มีการแขวนป้ายจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท อีกด้วย บุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ: นอกจากแพทย์ผู้ดำเนินการแล้ว คลินิกควรมีทีมแพทย์ผู้ให้บริการ (เช่น แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังหรือศัลยกรรมตกแต่ง ขึ้นกับบริการของคลินิก) ซึ่งแพทย์ทุกท่านต้องมีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง และปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ผู้ดำเนินการ สำหรับพยาบาลหรือผู้ช่วยทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ช่วยแพทย์ในห้องหัตถการ ก็ควรมีใบประกอบวิชาชีพพยาบาลหรือใบประกาศนียบัตรที่เกี่ยวข้องตามประเภทงาน

Blog, English Version

Business Law in Thailand: A Basic Guide for Entrepreneurs

Doing business in Thailand—whether as a local SME, a large industrial factory, a foreign-invested enterprise, a real estate developer, or a hotel and tourism operator—requires a sound understanding of the legal landscape. Key economic regions like Bangkok, Pattaya, Chonburi, and Rayong host a multitude of businesses, both Thai and foreign-owned, all of which must comply with Thai business laws and regulations. Familiarity with these laws will help entrepreneurs operate smoothly, avoid legal pitfalls, and ensure long-term success. This article serves as a basic guide to business law in Thailand for entrepreneurs. It covers essential topics such as setting up a company, obtaining necessary business licenses, compliance with corporate law, and sector-specific regulations for different industries. Whether you are a Thai business owner or a foreign investor, this guide will provide you with a solid overview

Blog, Thai Version

กฎหมายธุรกิจในไทย: คู่มือเบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการ

การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ SMEs ขนาดย่อม ธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และการท่องเที่ยว ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎหมายธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างกรุงเทพมหานคร พัทยา ชลบุรี และระยอง มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท การมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจไทยจะช่วยให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือเบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจในประเทศไทย โดยมีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัท การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ กฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายเฉพาะทางสำหรับประเภทธุรกิจต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการชาวไทยหรือนักลงทุนต่างชาติ คู่มือนี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของข้อกฎหมายที่ควรรู้เมื่อทำธุรกิจในประเทศไทย การจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย รูปแบบนิติบุคคล: การประกอบธุรกิจในไทยนิยมดำเนินการในรูปแบบ บริษัทจำกัด (Limited Company) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากตัวผู้ถือหุ้น มีความรับผิดจำกัดตามมูลค่าหุ้นที่ถือ ขั้นตอนแรกในการเริ่มธุรกิจคือการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยต้องยื่นจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและจัดให้มีการประชุมจัดตั้งบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนปี พ.ศ. 2566 กฎหมายกำหนดให้ต้องมีผู้ก่อการอย่างน้อย 3 คนในการจัดตั้งบริษัท แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่กำหนดให้มีผู้ก่อการเพียง 2 คนก็สามารถจดทะเบียนบริษัทจำกัดได้ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น ทุนจดทะเบียน: บริษัทจำกัดในไทยไม่มีข้อกำหนดทุนขั้นต่ำที่สูงมากนัก (ยกเว้นกรณีมีชาวต่างชาติถือหุ้นเกินกว่ากฎหมายกำหนดหรือกรณีขอใบอนุญาตบางประเภท) อย่างไรก็ตาม ทุนจดทะเบียนควรมีความเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ และ ทุกครั้งที่มีการชำระค่าหุ้น ผู้ถือหุ้นต้องชำระค่าหุ้นไม่น้อยกว่า 25% ของมูลค่าหุ้นที่จอง ในช่วงจัดตั้งบริษัท (ตามที่กฎหมายกำหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ทั้งนี้ การมีทุนจดทะเบียนที่น่าเชื่อถือยังเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจอีกด้วย ขั้นตอนการจดทะเบียน: การจดทะเบียนบริษัทเริ่มจากการจองชื่อบริษัทไม่ให้ซ้ำกับรายชื่อที่มีอยู่แล้ว จากนั้นจัดทำและยื่น หนังสือบริคณห์สนธิ (Memorandum of Association) ที่ระบุชื่อบริษัท วัตถุประสงค์ ที่ตั้ง สำนักงานใหญ่ ทุนจดทะเบียน และข้อมูลผู้ก่อการ ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อได้รับการอนุมัติชื่อและตรวจสอบเอกสารแล้ว ผู้ก่อการจะจัดประชุมจัดตั้งบริษัทเพื่อแต่งตั้งกรรมการและรับรองข้อบังคับบริษัท เมื่อประชุมจัดตั้งเสร็จสิ้น กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งจะนำรายงานการประชุมและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธุรกิจจะถือว่าเป็นนิติบุคคลสมบูรณ์เมื่อได้รับใบสำคัญการจดทะเบียนบริษัทเรียบร้อยแล้ว สำนักงานตัวแทนต่างชาติ: สำหรับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาตั้งฐานธุรกิจในไทยโดยไม่ถึงกับจัดตั้งเป็นบริษัทสัญชาติไทยเต็มรูปแบบ อาจเลือกจัดตั้ง “สำนักงานตัวแทน” (Representative Office) ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่บริษัทแม่ในต่างประเทศจัดตั้งขึ้นในไทยเพื่อทำกิจการบางอย่าง เช่น สำรวจข้อมูลตลาดหรือประสานงาน โดยสำนักงานตัวแทนจะ ไม่ได้รับอนุญาตให้หารายได้หรือรับชำระค่าสินค้าบริการในประเทศไทย (ทำหน้าที่เป็นผู้แทนประสานงานเท่านั้น) การจัดตั้งสำนักงานตัวแทนต่างชาติต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกฎหมายกำหนดให้มี ทุนโอนเข้ามาเพื่อใช้ดำเนินการขั้นต่ำ 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา การเปิดสำนักงานตัวแทนได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว” ภายใต้ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยให้เพียงแค่ยื่นจดแจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากลงไปมาก ทะเบียนพาณิชย์: สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือกิจการเจ้าของคนเดียว (sole proprietorship) ที่อาจยังไม่พร้อมจดทะเบียนในรูปบริษัท กฎหมายไทยกำหนดให้ธุรกิจการค้าทั่วไปต้องจดทะเบียนพาณิชย์กับสำนักงานเขตหรือเทศบาลในท้องที่ที่ประกอบกิจการเพื่อแสดงตัวตนของกิจการตามกฎหมาย (ได้ใบทะเบียนพาณิชย์หรือที่เรียกว่า “ใบทะเบียนการค้า”) การจดทะเบียนพาณิชย์นี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่งควรดำเนินการภายใน 30 วันนับแต่เริ่มประกอบกิจการ การมีทะเบียนพาณิชย์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจและเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินงานด้านภาษีด้วย กฎหมายบริษัทและกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง เมื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้ว ผู้ประกอบการควรทราบถึง บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการของนิติบุคคล สิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ การจัดทำ ตราสารหรือเอกสารหลักของบริษัท เช่น ข้อบังคับบริษัท ทะเบียนผู้ถือหุ้น ทะเบียนกรรมการ และหนังสือรับรองต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงต้องมี ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่จดทะเบียนไว้ชัดเจน ซึ่งอาจใช้เป็นสถานที่ติดต่อและรับส่งเอกสารราชการต่าง ๆ การบริหารจัดการและหน้าที่กรรมการ: บริษัทจำกัดจะมี คณะกรรมการบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยกรรมการหนึ่งคนขึ้นไป (แล้วแต่ที่ระบุในข้อบังคับหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่งตั้ง) หน้าที่ของกรรมการถูกกำหนดไว้ตามกฎหมาย เช่น ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริตต่อบริษัท (fiduciary duty) หากกรรมการกระทำการใด ๆ โดยทุจริตหรือฝ่าฝืนหน้าที่จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท กรรมการอาจต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาจมีความผิดทางอาญาในบางกรณี นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดให้กรรมการต้องจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อรับรองงบการเงินและเรื่องสำคัญ เช่น การจ่ายเงินปันผลหรือการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการบริษัทเองก็สามารถทำได้อย่างสะดวกขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายปัจจุบันยอมรับให้สามารถจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ (ตามพระราชกฤษฎีกาการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.

Blog, English Version

Protecting Intellectual Property in Thailand: A Guide for Foreign Businesses

Intellectual property (IP) is a critical asset for modern businesses, encompassing trademarks (brands and logos), patents (inventions and designs), copyrights (creative works like text, music, and software), and more. For foreign businesses and investors operating in key Thai regions such as Bangkok, Chonburi, Pattaya, and Rayong, understanding and safeguarding IP rights is essential to maintaining a competitive edge and preserving the value of your business. IP assets often represent the innovation, reputation, and goodwill of a company – losing control of these assets can have serious financial and reputational consequences. Without proper IP protection, a company’s products or brand can be imitated by competitors or counterfeiters, leading to lost revenue and dilution of brand value. Thailand’s IP environment has improved in recent years with strengthened enforcement and legal reforms, but challenges remain.

Scroll to Top